ขนมไทยมีการขยายตัวออกอย่างแพร่หลาย โดยสังเกตได้จากการพัฒนาปรับแต่งหน้าตารวมถึงรสชาติให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่สุโขทัย (พศ.1238 - 1350) คนไทยมีการซื้อขายระยะยาวกับประเทศจีนและอินเดียซึ่งส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและประเพณีไปด้วยในตัว ทั้งนี้รวมถึงพวกสูตรขนมหรืออาหารต่าง ๆ ด้วย
สมัยอยุธยา (พศ. 1350 - 1767), คนไทยเริ่มซื้อและขายกับประเทศตะวันตกมากขึ้น โดยโปรตุเกสเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาติดต่อ โดยจะมีการแนะนำการใช้ไข่และเตาอบโดย ขนมไทย ได้แก่ ทองหยิบ (Gold Pinched), ทองหยอด (Drop of Gold) และ ฝอยทอง(Golden Threads) ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากโปรตุเกสทั้งนั้น
ขนมไทยขึ้นชื่อในแง่ของขั้นตอนการทำที่จะซับซ้อนรวมถึงความใส่ใจในการทำอย่างพิถีพิถัน คุณสมบัติของขนมไทยไม่ได้เป็นเพียงการแบ่งประเภทตามความหวานเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น กลิ่นหอม วิธีทำอย่างประณีตจากขั้นตอนแรก (เตรียมส่วนผสม) จนถึงกระบวนการผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย ซึ่งทำให้ขนมไทยแตกต่างจากการนึ่ง อบ ทอด ต้ม หรือกระบวนการที่ซับซ้อน เช่น การทำไข่แดงในน้ำเชื่อม เป็นต้น
องค์ประกอบหลักสำหรับขนมไทยส่วนใหญ่มีกะทิ, น้ำตาล, แป้ง, ไข่, เกลือ, สีผสมอาหารตามธรรมชาติเพื่อให้ขนมไทยสมบูรณ์แบบและอร่อยยิ่งขึ้น ส่วนผสมควรต้องสดใหม่ โดยในที่นี้กะทิ ต้องมาจากมะพร้าวใหม่สด ในปัจจุบันเพื่อทำกะทิ เนื้อมะพร้าวต้องขูดประณีตแล้วนำมาแช่ในน้ำอุ่นน้ำไม่ร้อนมากมันถูกบีบจนแห้งแล้ว ของเหลวสีขาวจากการกดครั้งแรกจะเรียกว่า "หัวกะทิ" เติมน้ำอุ่นเพิ่มอีกครั้งเพื่อทำกะทิครั้งที่หนึ่งและเติมน้ำอุ่นอีกครั้งตามลำดับกลายเป็นกะทิครั้งที่สอง ซึ่งทั้งสองครั้งเรียกว่า "หางกะทิ" เนื้อมะพร้าวขูดอย่างประณีตสามารถใช้งานโดยทั่วไปประมาณ 3 ครั้งจากนั้นก็ทิ้ง กะทิสดมีรสชาติและกลิ่นหอมมากขึ้นกว่ากะทิอุตสาหกรรมในกระป๋อง อย่างไรก็ตามชีวิตความเป็นอยู่ที่รีบเร่งและเพื่อความสะดวกมากขึ้นทำให้กะทิกระป๋องจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษน้ำตาลคือองค์ประกอบที่สำคัญในขนมไทยถัดมา น้ำตาลสองแบบทั่วไปที่ใช้ในขนมไทย ได้แก่ น้ำตาลมะพร้าวปาล์ม และ น้ำตาลปาล์ม ซึ่งสามารถใช้งานทดแทนกันได้สำหรับมาตรฐานเดียวกันในการทำขนม แต่ขนมจะแตกต่างในรสชาติและความหอม ซึ่งบ้างครั้งการดัดแปลงแบบนี้อาจทำให้ได้สูตรขนมไทยที่แปลกใหม่ และมีรสชาติที่อร่อยนั่นเอง
คุณแม่ บังอร เสมอ เจ้าของร้านขนมหวานบ้านต้นเตย
ขนมไทยทำยากไหมครับ
- ขนมไทยนะ ก็ทำยาก ..
ลักษณะที่ดีของขนมไทยต้องเป็นอย่างไรบ้างครับ
- ต้องให้หวาน มัน
ใช้เป็นกะทิอะไรในการทำครับ
- เป็นกะทิสด น้ำตาลมะพร้าว
ส่วนผสมหลักในการทำการทำขนมไทยมีอะไรบ้างครับ ยกตัวอย่างขนมอะไรก็ได้ครับ
- เช่น บัวลอย บัวลอยนี่ก็จะใช้แป้งข้าวเหนียว อย่างฟักทอง นี่ก็จะต้มฟักทองและจะมาครั้นใส่ตัวแป้ง จนมันเหนียว ให้ปั้นได้เป็นลูก
แล้วขนมไทยที่คุณแม่ทำนี่เป็นสูตรเฉพาะของแม่เองเลยไหมครับ
- จ๊ะ สูตรของแม่เอง
เมนูที่เป็นจุดเด่นของร้านคืออะไรครับ
- ข้าวเหนียวถั่วดำ
ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเยอะช่วงเวลาไหนครับ
- จะขายดีช่วงประมาณ 5 โมง จนไปถึง 1 ทุ่ม
สุดท้ายนี้ฝากร้านหน่อยครับคุณแม่
- บ้านครัวหวาน บ้านต้นเตย 2 อยู่หมู่บ้านพฤกษา 13 ซอย.4/4 ขายทุกวันไม่มีวันหยุด นอกจากจะมีธุระถึงจะหยุด
- บ้านครัวหวาน บ้านต้นเตย 2 อยู่หมู่บ้านพฤกษา 13 ซอย.4/4 ขายทุกวันไม่มีวันหยุด นอกจากจะมีธุระถึงจะหยุด
ลองไปดูตัวอย่าง และวิธีการทำของทำขนมบัวลอยกัน ..
บัวลอย
ส่วนผสมบัวลอย
* แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วยตวง
* เผือกนึ่งสุกบดละเอียด 1 ถ้วยตวง (กรณีต้องการบัวลอยหลายสีสามารถเลือกใช้ฟักทอง เพื่อทำบัวลอยสีเหลือง, ใบเตย เพื่อทำบัวลอยสีเขียว, อื่นๆ)
* น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง
* กะทิ 2 ถ้วยตวง+ส่วนผสมน้ำกะทิ+
* น้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม
* น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
* เกลือป่น 1 ช้อนชา
* เนื้อมะพร้าวอ่อน, ไข่ (จะมีหรือไม่มีก็ได้)
* งาขาว (สำหรับแต่งหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้)
วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน |
---|
1. ทำบัวลอยโดยผสมแป้งข้าวเหนียว เผือกนึ่งและน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน นวดจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงนำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ ระหว่างปั้นนั้น ควรโรยด้วยเศษแป้งข้าวเหนียวเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกบัวลอยติดกัน
2. ต้มน้ำในหม้อขนาดกลาง รอจนเดือดจึงใส่ลูกบัวลอยที่ปั้นไว้แล้ว เมื่อบัวลอยสุกให้นำออกมาแช่ในน้ำเย็น (บัวลอยที่สุกแล้วจะลอยขึ้น)
3. ทำน้ำกะทิโดยผสม กะทิ, น้ำตาลมะพร้าว, น้ำตาลทรายและเกลือป่นลงไป ควรใส่น้ำตาลทรายแค่ครึ่งเดียวก่อน ถ้ายังหวานไม่พอจึงค่อยใส่เพิ่มลงไป ต้มจนเดือด จึงหรี่ไฟลง นำบัวลอยที่ต้มไว้แล้วใส่ลงไปในน้ำกะทิ ต้มต่ออีกสักพักจึงปิดไฟ ถ้ามีมะพร้าวอ่อนก็ใส่ได้เลย พร้อมลูกบัวลอย (กรณีต้องการทำบัวลอยไข่หวาน ก็ตอกไข่ใส่ไปในหม้อหลังจากที่ใส่บัวลอยลงไป รอจนไข่สุกจึงปิดไฟ)
4. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาขาว เสริฟขณะร้อนหรือรอให้เย็นก็ได้
![]() |